|
VIEW : 806
เพิ่ม/แก้ไขข้อมูลท่านเป็นบุตรคนสุดท้องของบิดา มารดา ในจำนวนพี่น้องทั้งสิ้น ๔ คน คือ ๑. นายชุ่ม ติตรัตน์ ๒. ขุนประจักษ์ (พัฒน์ จิตรัตน์) ๓. นางเผียน จิตรัตน์ ๔. พระครูสถิตสันตคุณ (พัว จิตรัตน์)
ในวัยเยาว์เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๒) ได้เริ่มศึกษาเล่าเรียนอักขระวิธี ปฐมมาลา ปฐมจินดามุนี (เวลานั้นยังไม่มีโรงเรียนประชาบาล) ในสำนักท่านอธิการยงฯ เจ้าอาวาสวัดบางเดือนเก่า ตำบลบางเดือน อำเภอพุนพิน (อำเภอพุมดวง) จังหวัดสุราษฎร์ธานี
บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ณ วัดท่าโขลง โดยมี พระอธิการนุ้ย ประทุมสุวรรณ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วกลับไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมและศึกษาธรรมวินัยอยู่กับพระอธิการยงฯ วัดบางเดือนเก่าตามเดิมในระหว่างที่ท่านเป็นสามเณรอยู่นั้นท่านได้ฝึกหัดเทศน์มหาชาติตลอดจนคาถาพัน จนขึ้นชื่อว่าเป็นนักเทศน์ที่ขึ้นชื่อผู้หนึ่งในสมัยนั้น
อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ณ พัทธสีมาวัดท่าโขลง โดยมี พระอธิการเย็น จนฺทมุนี วัดบางงอน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการนุ้ย ประทุมสุวรรณ วัดท่าโขลง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเพชร อินฺทสุวรรณ วัดเงิน เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้นามและฉายาว่า “เกสโร”
เมื่ออุปสมบทแล้วได้กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบางเดือนเก่า ต่อมาท่านได้มีความคิดที่จะศึกษาพระธรรมเพิ่มขึ้นจึงได้เดินทางเข้าศึกษาที่จังหวัดพระนคร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้พักอาศัยเรียนบาลีอยู่สำนักวัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) การศึกษาของท่านดำเนินไปด้วยดี แต่ในที่สุดโชคไม่อำนวยให้ท่านได้สมความตั้งใจ กล่าวคือ พอใกล้จะถึงวันเข้าสอบบาลี ท่านได้เกิดอาพาธป่วยไข้ขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่สามารถสอบบาลีได้ ดังนั้น พอปวารณาพรรษาแล้วท่านได้ตัดสินใจเดินทางกลับวัดบางเดือนเก่า จังหวัดสุราษฎร์ธานีทันที
หลังจากกลับจากพระนครมาจำพรรษาต่อที่วัดบางเดือนเก่าดังเดิม (พ.ศ. ๒๔๔๔) ท่านได้ตั้งปณิธาน ที่จะศึกษาทางด้านสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยได้ศึกษากับพระอาจารย์เพชรฯ วัดเงิน ในเบื้องต้น และท่านได้ออกรุกขมูลธุดงค์เพื่อฝึกฝนโดนลำพัง จนล่วงเข้าจังหวัดภูเก็ต (พ.ศ. ๒๔๔๕) ท่านได้เข้าฝากตัวกับพระอาจารย์รอดฯ วัดโฆสิตาราม อยู่ฝึกอบรม จนล่วงเข้าพรรษาที่ ๒ หลังปวารณาออกพรรษาแล้ว (พ.ศ. ๒๔๔๖) ท่านได้กราบลาท่านอาจารย์ออกธุดงค์จาริก เพื่อไปนมัสการพระธาตุชะเวดากอง กรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยการเดินทางครั้งนี้จนกลับคืนยังวัดโฆสิตาราม ใช้เวลา ๔ เดือนเศษ จากนั้นท่านได้กราบลากลับไปจำพรรษายังวัดบางเดือนเก่าตามเดิม
เมื่อกลับมายังวัดบางเดือนเก่า (พ.ศ. ๒๔๔๗) ท่านได้ยึดป่าช้าเป็นที่พักอาศัยสำหรับการปฏิบัติ จนล่วงเข่าปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ท่านได้ออกธุดงค์จาริกอีกครั้ง โดยมุงหน้าสู่กรุงเทพฯนมัสการพระแก้วมรกตต่อไปยังวัดพระมงคลบพิตร จังหวัดอยุธยา ต่อเรื่องไปยังพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ล่วงเข้าจังหวัดลพบุรี และไปอีกหลายจังหวัดในเขตนั้น และยังเลยไปถึงพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนกลับมายังวัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม แล้วกลับคืนสู่วัดบางเดือนเก่า
ด้วยจริยวัตรอันงดงามของท่านจนเป็นที่ศรัทธาแก่ชาวบ้าน จึงได้ชักชวนชาวบ้านสร้างวัดขึ้น (พ.ศ. ๒๔๕๐) ในพื้นที่บริเวรตำบลบางเดือน ได้ชื่อว่า “วัดจันทร์ประดิษฐาราม”
โดยในระหว่างการสร้างวัดท่านเห็นว่าขั้นตอนการก่อสร้าง เริ่มเข้าที่เข้าทาง ท่านจึงได้ออกธุดงค์จาริกอีกครั้ง(พ.ศ. ๒๔๕๕) โดยคราวนี้มีจุดหมายที่พระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งระหว่างทางท่านได้แวะยังสถานที่สำคัญอีกหลายที่ และได้กลับมายังวัดจันทร์ประดิษฐาราม ซึ่งในปีเดียวกันนี้เอง ทางวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามวาสี และได้หล่อพระประทานเป็นผลสำเร็จ
ท่านได้จาริกธุดงค์ไปนมัสการพระธาตุชะเวดากองอีกครั้ง (พ.ศ. ๒๔๕๗) โดยคราวนี้ท่านได้ลงเรือที่ระนองข้ามไปยังพม่า แล้วเดินท้าวต่อจนถึงพระธาตุ
หลังจากการธุดงค์จาริกไปยังที่ต่างๆท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดจันทร์ประดิษฐาราม จนอายุท่านล่วงเข้า ๔๐ พรรษาที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๔๕๙) ท่านเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านเจ้าคุณพระชยาภิวัฒน์ ได้เห็นถึงศีลาจาริยวัตรอันงดงามตลอดจนอายุกาลพรรษาของท่าน เห็นสมควรที่จะขอแต่งตั้งท่านเป็นพระอุปัชฌายะ จึงดำริให้ท่านเข้ารับการฝึกหัดเป็นพระอุปัชฌายะ กับพระครูพิศานคณกิจ(จวน) เจ้าคณะอำเภอพุนพิน ในสมัยนั้น และได้ เข้ารับการฝึกกับเจ้าคุณพระธรรมารามคณี เจ้าคณะจังหวัดหลังสวน (ขณะนั้นยังเป็นจังหวัด) และได้เข้ารับการฝึกต่อที่วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม (พ.ศ. ๒๔๖๐) จนมีความชำนาญจึงลากลับยังวัดจันทร์ประดิษฐารามดังเดิม(พ.ศ. ๒๔๖๑)
ในระหว่างท่านจำพรรษาที่วัดจันทร์ประดิษฐาราม (พ.ศ. ๒๔๖๒) ท่านได้ช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดละมุ (วัดปราการ) ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลท่าขนอน อำ เภอคีรีรัฐนิคม จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ และได้แต่งตั้งให้พระเชื่อม เป็นผู้ดูแลรักษาวัดสืบไป
จากการธุดงค์จาริกไปยังที่ต่างๆของท่าน ท่านได้พบว่าพื้นที่บริเวรเขาพระราหู เห็นควรจะมีวัดซักแห่งหนึ่งจึงชักชวนชาวบ้านร่วมกันสร้างวัดขึ้น(พ.ศ. ๒๔๘๐) ซึ่งในขณะนั้นท่านมีอายุล่วงได้ ๖๒ ปี จนสำเร็จได้รับพระราชทานวิสุงคามวามสีมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุครบ ๗ รอบพอดี
พ.ศ. ๒๔๕๕ | เป็น เจ้าอาวาสวัดจันทร์ประดิษฐาราม |
พ.ศ. ๒๔๕๘ | เป็น รองเจ้าคณะอำเภอพุนพิน (พุมพวง) |
พ.ศ. ๒๔๖๑ | เป็น รักษาการเจ้าคณะอำเภอคีรีรัฐนิคม (ท่าขนอน) และกิ่งอำเภอพนม |
พ.ศ. ๒๔๖๑ | เป็น พระอุปัชฌาย์ |
พ.ศ. ๒๔๘๒ | เป็น ประธานอำนวยการเทศนา สั่งสอนประชาชน จากคณะสงฆ์ในเขตปกครอง |
พ.ศ. ๒๔๙๑ | เป็น ประธานกรรมการสงฆ์ในเขตปกครอง |
เจ้าคณะอำเภอคีรีรัฐนิคม (ท่าขนอน) กิ่งอำเภอพนม |
พ.ศ. ๒๔๗๒ | เป็น ผู้อำนวยการศึกษาพระปริยัติธรรม ในอำเภอคีรีรัฐนิคม (ท่าขนอน) และกิ่งอำเภอพนม |
พระครูสถิตสันตคุณ (พัว เกสโร) มรณภาพ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๒ เวลา ๑๖.๐๕ น. รวมสิริอายุได้ ๘๘ ปี ๑ เดือน ๒๔ วัน
๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ เป็น
พระครูสัญญาบัตร
ที่ พระครูสถิตสันตคุณ
|
เกรียงศักดิ์ เมฆสุข |
แจ้งเพิ่มข้อมูล info@sangkhatikan.com
www.sangkhatikan.com สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ ศึกษาข้อมูล และเป็นที่รวบรวมข้อมูลพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
ทางผู้จัดทำขออนุญาติ เจ้าของรูปและข้อมูลทุกท่าน ที่นำมาเผยแพร่
พระสังฆาธิการ : sangkhatikan.com
สำนักงานweb : วัดสำโรงเหนือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐
E-mail : info@sangkhatikan.com
Facebook