|
VIEW : 3,219
เพิ่ม/แก้ไขข้อมูลมีศักดิ์เป็นหลานชายของ พระญาณวิศิษฏ์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา โดยพระอาจารย์สิงห์มีศักดิ์เป็นลุงของท่าน และมีศักดิ์เป็นหลานชายของ พระครูพิศาลอรัญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.ธ.๓)
**ชื่อและฉายาของท่านเหมือนกับพระเทพสิทธาจารย์ แต่เป็นคนละรูปกัน) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ และอดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธรรมยุต)
เมื่อมีอายุพอศึกษาเล่าเรียนได้ โยมบิดามารดานำไปบรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดบ้านดอนยาง ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมี หลวงตาลุย เป็นพระอุปัชฌาย์ รวมทั้งให้การอบรมสั่งสอนเมื่อบรรพชาแล้ว
ตามประวัติกล่าวว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียร เอาจริงเอาจังในสิ่งที่ศึกษาเล่าเรียน มีความฉลาดเป็นเลิศ พระอุปัชฌาย์จึงมีความเห็นว่าควรจะสนับสนุนส่งเสริมให้ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงขึ้น จึงส่งไปศึกษาเล่าเรียนกับ "หลวงปู่ธรรมธรณ์" ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาความรู้มาก ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่ามาเรียนอยู่ที่นี่นานเท่าใด และกลับไปที่จังหวัดขอนแก่นตอนไหน ได้มีโอกาสออกธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐานตอนไหนในขระเป้นสามเณร รวมทั้งยังไม่มีข้อมูลว่า ท่านได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ในสายไหน
เรื่องการบรรพชาเป็นสามเณร แม้ว่าจะมีการระบุนามของพระอุปัชฌาย์ไว้เป็นเบื้องต้น แต่เชื่อว่า ก่่อนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ น่าจะมีการญัตติเป็นสามเณรธรรมยุตก่อนแน่นอน ส่วนจะเป็นพระเถระรูปใดเป็นพระอุปัชฌาย์ให้บรรพชาเป็นสามเณรธรรมยุต ยังไม่พบหลักฐาน เป็นไปได้ว่า อาจจะเป็น "พระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ และอดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธรรมยุต) ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ ซึ่งไปอยู่ที่วัดศรีจันทร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ ยังไม่ใช่ข้อมูลที่แน่นอนได้ ต้องค้นหาหลักฐานในโอกาสต่อไป
ในบางข้อมูลเขียนประวัติของท่านว่า อยากจะบวชเป็นเณร บิดามารดาเลยนำไปบรรพชาที่ป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร หรือบรรพชาเป็นสามเณรแล้วไปจำพรรษาที่วัดป่าสุทธาวาส ข้อนี้ไม่น่าจะใช่ เพราะจากข้อความตอนหนึ่งที่ท่านระบุไว้ในการเขียนประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต บอกว่า "เพิ่งมีโอกาสได้ไปกราบหลวงปู่มั่นและฝากตัวเป็นศิษย์ครั้งแรกที่วัดปทุมวนาราม ตอนหลวงปู่มั่นลงไปกรุงเทพฯ ก่อนจะไปเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ในคราวที่พระอริยคุณาธารอุปสมบทพรรษาแรก" หากท่านเคยอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาสมาก่อน ย่อมได้มีโอกาสเจอหลวงปู่มันมาก่อนแล้ว
จากนั้น เดินทางเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์ แต่ไม่ทราบว่ามาขณะมีอายุเท่าใด คาดว่าเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๕ - ๒๔๗๐ ช่วงแรกที่พระเดชพระคุณ พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสกเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ รูปที่ ๙ ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๖๐) และเริ่มพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรมขึ้นมา ระยะนี้ ครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เริ่มฝากพระภิกษุสามเณรให้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์จำนวนหลายรูป เพราะวัดธรรมยุตที่จะรองรับในขณะนั้นมีไม่มากนัก
จากประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ตอนหนึ่ง กล่าวว่า
"ครั้นจวนจะเข้าพรรษาคราวหนึ่ง (ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๗) ท่านได้ดำริที่จะเรียนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม จึงพาสามเณรโชติไปฝากที่วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม จากนั้นตัวท่านจึงเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ และได้เข้าพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ (วัดเกาะ) เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมเพิ่มเติมตามที่ประสงค์ แต่ศึกษาอยู่ได้ไม่นานนักท่านก็เลิก เพราะจิตใจของท่านเอนเอียงไปทางด้านธุดงค์กัมมัฏฐานมากกว่าเสียแล้ว จึงเพียงแต่อยู่ปฏิบัติธรรมและโปรดญาติโยมที่วัดสัมพันธวงศ์เท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้นภายหลังจากที่ออกพรรษาแล้ว ท่านจึงเดินทางกลับ (ธุดงต่อไปจังหวัดลพบุรี และพรมหาพลอยวัดสัมพันธวงศ์ตามไปนิมนต์ให้กลับไปจำพรรษาโปรดญาติโยมที่จังหวัดสุรินทร์ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๘)"
จึงสันนิษฐานว่า พระอริยคุณาธารขณะเป็นสามเณร เดินทางมาอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ในช่วงเดียวกันนี้ โดยอาจจะเป็นการฝากของพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาขโม ผู้เป็นหลวงลุง หรือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นผู้ฝาก หรือไม่ก็ท่านพระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.ธ.๓) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์และอดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธรรมยุต) ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่อีกท่าน เป็นผู้ฝาก
ส่วนบางข้อมูลที่มีการพูดกันในบางแหล่งว่า ท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้อุปถัมภ์ฝากให้อยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์และให้อุปสมบทที่นี่ ข้อนี้ หากยึดตามหลักฐานในยุคนั้น ไม่น่าจะใช่ เพราะ
- หากท่านมาเป็นสามเณรที่วัดบรมนิวาสแล้ว ไม่น่าจะได้ย้ายมาที่วัดสัมพันธวงศ์ เพราะยุคนั้น วัดบรมนิวาสได้เป็นสำนักเรียนเก่าแก่อยู่แล้ว หากมาอยู่จำพรรษาที่นั่นก่อน ย่อมจะศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ที่นั่น
- วัดสัมพันธวงศ์ในยุคที่พระเดชพระคุณ พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสกเถร) มาเป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ (พ.ศ. ๒๔๖๐) เป็นวัดที่ขึ้นตรงกับวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระองค์ผู้ทรงพระอิสริยศเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าและเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เป็นผู้ทรงสั่งการกำกับโดยตรง มีระเบียบต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อรับพระภิกษุสามเณรเข้ามาศึกษาเล่าเรียนแล้ว เช่น ต้องมีผู้ทำหนังสือฝากอย่างเป็นทางการ การซ้อมสวดมนต์ ๓๐ เลข การตั้งใจจะมาศึกษาเล่าเรียน ศึกษาและปฏิบัติอาจาระต่าง ๆ ตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งรัด เป็นต้น หากยังไม่เข้าระเบียบตรงนี้ จะไม่สามารถเข้ามาอยู่วัดและอุปสบทที่วัดสัมพันธวงศ์แห่งนี้ได้ในขณะนี้ เป็นที่แน่นอนว่า น่าจะเป็นการฝากตรงจากครูบาอาจารย์ในต่่างจังหวัดตามระเบียบมากกว่า
- ด้วยข้อมูลของวัดในยุคนั้นทีที่มีระเบียบเคร่งครัดมาก ผู้ที่จัดการให้อุปสมบทและกราบอาราธนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์มาทรงนั่่งเป็นพระอุปัชฌาย์ คือ พระเดชพระคุณ พระมหารัชชมังคลาจารย์ เมื่อครั้งยังเป็น พระครูวิบูลศีลขันธ์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในขณะนั้น โดยท่านพระอริยคุณาธารเมื่อยังเป็นสามเณรได้ผ่านระเบียบต่าง ๆ ของวัดสัมพันธวงศ์เรียบร้อยแล้ว วัดอื่น ๆ คงไม่สามารถมาสั่งการข้ามการปกครองได้ อย่างหนึ่งที่สำคัญ คือ ยุคนั้น วัดสัมพันธวงศ์ เป็นวัดที่ทรงกำกับโดยตรงจากสมเด็จพระสมณเจ้าฯ วัดบวรนิเวศวิหาร การสั่งการต่าง ๆ จักมาจากวัดอื่นได้ยาก
ส่วนการที่ได้เข้าไปเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ น่าจะเป็นการเข้าไปกราบรับโอวาท ซึ่งอาจจะได้มีโอกาสตั้งแต่เป็นสามเณร เพราะพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาขโม ท่านเป็นสัทธิวิหารริกในท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ มาที่นี่บ่อย ๆ รวมทั้งท่านพระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย) วัดศรีจันทร์ ผู้เป็นญาติผุ้ใหญ่อีกรูปหนึ่ง ท่านเคยมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบรมนิวาสแห่งนี้ ก่อนออกไปปฏิบัติศาสนกิจและเป็นเจ้าอาวาสที่วัดศรีจันทร์ น่าจะเคยพามากราบรับโอวาทตั้งแต่เป็นสามเณร
ท่านพระอริยคุณาธารได้มีโอกาสไปปฏิบัติรับโอวาทจากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ น่าจะเป็นช่วงหลังอุปสมบทแล้ว แต่ไม่ใช่การไปอยู่ประจำ เป็นการไปกราบและรับโอวาทเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานตามโอกาส รวมทั้งการได้ไปกราบและรับโอวาทจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเป็นความสนใจที่ทำควบคู่กันไปกับการศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์แห่งนี้
การได้มีโอกาสออกธุดงค์ไปกราบและรับโอวาทจากครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ท่านน่าจะทำได้เต็มที่หลังจากที่สอบผ่านเปรียญธรรม ๖ ประโยคแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติศาสนกิจช่วยงานคณะสงฆ์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ขณะมีอายุ ๒๑ ปี ณ วัดสัมพันธวงศ์ โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์) ขณะทรงพระยศเป็น สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสกเถร) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ รูปที่ ๙ ขณะยังมีสมณศักดิ์ที่ พระครูวิบูลศีลขันธ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
เนื่องจากในขณะนั้น พระครูวิบูลศีลขันธ์ วัดสัมพันธวงศ์ ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ การอุปสมบทในช่วงนั้น จะกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เสด็จมาทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้
เรื่องชื่อของท่านพระอริยคุณาธารนั้น เดิมอาจจะชื่อ "เหล็ง" หรือ "เล็ง" จริง ๆ แล้วมาเปลี่ยนชื่อเป็น "เส็ง" ตอนอุปสมบทที่วัดสัมพันธวงศ์แห่งนี้ คาดว่า พระเดชพระคุณ พระมหารัชชมังคลาจารย์ (นิทฺเทสโก) จะเป็นผู้เปลี่ยนให้ เพราะในกาลต่อมา ประวัติของพระเถระสองรูป ซึ่งเป็นสามเณรสายกรรมฐานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มาอุปสมบทที่วัดสัมพันธวงศ์ ท่านก็เปลี่ยนให้ในคราวอุปสมบท คือ สามเณรกงมา เปลี่ยนให้เป็น "นิตย์" และต่อมาเปลี่ยนเป็น "มานิตย์ หรือ มานิต" (ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์) และสามเณรทองทิพ (พระเทพสุเมธี วัดศรีโพนเมือง สกลนคร / มาพร้อมกับสามเณรกงมา) ท่านก็เปลี่ยนให้เป็น "ไพบูลย์"
พระมหารัชชมังคลาจารย์ น่าจะเปลี่ยนชือจาก "เหล็ง หรือ เล็ง" มาเป็น "เส็ง หรือ เสง" ในคราวอุปสมบท และเริ่มใช้เป็นปีแรก โดยอนุโลมตามหลักฐานที่ปรากฏในการสอบพระปริยัติธรรม ป.ธ.๔ ได้ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ซึ่งเป็นปีแรกที่อุปสมบทนี้
พ.ศ. ๒๔๗๑ สอบได้ เปรียญธรรม ๔ ประโยค สำนักเรียนวัดสัมพันธวงศ์ |
พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบได้ เปรียญธรรม ๕ ประโยค สำนักเรียนวัดสัมพันธวงศ์ |
พ.ศ. ๒๔๗๕ สอบได้ เปรียญธรรม ๖ ประโยค สำนักเรียนวัดสัมพันธวงศ์ |
เจ้าอาวาสวัดเขาสวนกวา | |
เจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยเจ้าคณะภาค ๔ (ธ) | |
เจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส | |
รั้งเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (ธ) | |
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ |
สุดท้าย ท่านได้ขอลาออกจากตำแหน่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อมาปฏิบัติกรรมกรรมฐานอย่างเดียวที่สำนักวัดเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น
พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส ป.ธ.๖) ได้ลาสิกขาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ และอยู่ปฏิบัติธรรมสอนพระกรรมฐานที่สำนักเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น
ท่านมรณะในวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็น
พระราชาคณะชั้นสามัญ
ที่ พระอริยคุณาธาร
|
แจ้งเพิ่มข้อมูล info@sangkhatikan.com
www.sangkhatikan.com สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ ศึกษาข้อมูล และเป็นที่รวบรวมข้อมูลพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
ทางผู้จัดทำขออนุญาติ เจ้าของรูปและข้อมูลทุกท่าน ที่นำมาเผยแพร่
พระสังฆาธิการ : sangkhatikan.com
สำนักงานweb : วัดสำโรงเหนือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐
E-mail : info@sangkhatikan.com
Facebook