|
VIEW : 3,664
เพิ่ม/แก้ไขข้อมูลเมื่ออายุ ๑๔ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีจันทร์ จังหวัดขอนแก่น โดยมี อาจารย์พระหน่อ วัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาท่านย้ายมาอยู่กรุงเทพฯเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๘ ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ขณะยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสมโพธิ (สวัสดิ์ กิตฺติสาโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺโต) ขณะยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระศรีสมโพธิ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า อาสโภ
ท่านได้ศึกษาอักษรลาวตั้งแต่บวชเป็นเณรที่ขอนแก่น |
พ.ศ. ๒๔๖๑ สอบได้ วิชาครู เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร (ปัจจุบันคือโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน) |
พ.ศ. ๒๔๖๔ สอบได้ นักธรรมชั้นตรี |
พ.ศ. ๒๔๖๕ สอบได้ นักธรรมชั้นโท |
พ.ศ. ๒๔๖๖ สอบได้ เปรียญธรรม ๓ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๖๗ สอบได้ เปรียญธรรม ๔ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๖๘ สอบได้ เปรียญธรรม ๕ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๖๙ สอบได้ เปรียญธรรม ๖ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๗๑ สอบได้ นักธรรมชั้นเอก |
พ.ศ. ๒๔๗๑ สอบได้ เปรียญธรรม ๗ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบได้ เปรียญธรรม ๘ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๗๖ | เป็น รองเจ้าอาวาสวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร |
พ.ศ. ๒๔๗๖ | เป็น รองเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
พ.ศ. ๒๔๗๖ | เป็น พระอุปัชฌาย์วิสามัญ |
พ.ศ. ๒๔๗๖ | เป็น พระคณาจารย์โทในทางคันถธุระ |
พ.ศ. ๒๔๗๗ | เป็น เจ้าคณะตำบลสำเภาล่ม |
พ.ศ. ๒๔๗๘ | เป็น เจ้าอาวาสวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร |
พ.ศ. ๒๔๗๘ | เป็น เจ้าคณะแขวงบางปะหัน |
พ.ศ. ๒๔๘๒ | เป็น รองเจ้าคณะมณฑลอยุธยา |
พ.ศ. ๒๔๘๔ | เป็น พระคณาจารย์เอกในทางคันถธุระ |
พ.ศ. ๒๔๘๔ | เป็น สมาชิกสังฆสภา |
พ.ศ. ๒๔๘๖ | เป็น เจ้าคณะตรวจการภาค ๔ ซึ่งเป็นพระคณาธิการองค์แรกในตำแหน่งนี้ |
พ.ศ. ๒๔๘๘ | เป็น สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา |
พ.ศ. ๒๔๘๘ | เป็น เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
พ.ศ. ๒๔๘๙ | เป็น สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา |
พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๕๐๓ | เป็น เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร สมัยที่ ๑ |
พ.ศ. ๒๔๙๓ | เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง |
พ.ศ. ๒๔๙๔ | เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง สมัยที่ ๒ |
พ.ศ. ๒๔๙๘ | เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง สมัยที่ ๓ |
พ.ศ. ๒๕๒๔ - ๒๕๓๒ | เป็น เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร |
พ.ศ. ๒๕๒๘ | เป็น กรรมการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง |
พ.ศ. ๒๕๓๑ - ๒๕๓๒ | เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช |
พ.ศ. ๒๕๓๑ - ๒๕๓๒ | เป็น เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก |
พ.ศ. ๒๔๘๘ | เป็น แม่กองธรรมสนามหลวง |
พ.ศ. ๒๔๙๐ | เป็น ทุติยสภานายกสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ |
ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ เมื่อครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น ท่านได้ถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนทางเวจมรรคกับลูกศิษย์ และมีข่าวว่าพระศาสนโศภน (ปลอด อตฺถการี) อยู่กับสีกาสองต่อสองในที่ลับหูลับตาหลายครั้ง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) จึงมีพระบัญชาให้ทั้งสองรูปพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ทั้งสองรูปปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าทั้งสองรูปฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดทั้งสองรูปออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๓
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๕ พระมหาอาจได้ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับสึกเป็นฆราวาส และจำคุกอยู่ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่หลายปี จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระเถระทั้งสองรูปคืนสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) อาพาธ และได้ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบด้วยภาวะหัวใจวาย เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลา ๑๑.๑๕ น. ณ โรงพยาบาลสยาม กรุงเทพมหานคร สิริชนมายุได้ ๘๖ ปี ๑ เดือน พรรษา ๖๖
ในการนี้ ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นเวลา ๑๐๐ วัน ครบเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยมีคณะเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายทุกคืนทุกวัน บางวันมีคณะเจ้าภาพหลายคณะร่วมบำเพ็ญกุศล และตลอดมาจนถึงวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดออกเมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็น
พระราชาคณะชั้นสามัญ
ที่ พระศรีสุธรรมมุนี
|
พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็น
พระราชาคณะชั้นราช
ในราชทินนามเดิม
|
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็น
พระราชาคณะชั้นเทพ
ที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณสุนทรธรรมภูษิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็น
พระราชาคณะชั้นธรรม
ที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ ปรีชาญาณดิลก ตรีปิฎกคุณาลงกรณ์ ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็น
พระราชาคณะเจ้าคณะรอง
มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพิมลธรรม มหันตคุณ วิบุลปรีชาญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูษิต ยติกิจสาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
พ.ศ. ๒๕๐๓ ถูกถอดจากสมณศักดิ์
|
๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์คืน
[1]
|
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็น
สมเด็จพระราชาคณะ
ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ สมถวิปัสสนาญาณปรีชา อรัญญิกมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี
|
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ได้ส่งพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ขณะเป็นพระมหาโชดกไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานสายของมหาสีสย่าด่อที่สำนักศาสนยิสสา ประเทศพม่า เป็นเวลา ๑ ปี แล้วนำกลับมาสอน พร้อมทั้งพระพม่าสองรูป คือพระภัททันตะ อาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ และพระอินทวังสเถระ กัมมัฏฐานาจริยะ โดยเปิดสอนครั้งแรกที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ จากนั้นจึงขยายไปเปิดสอนที่สาขาอื่นทั่วราชอาณาจักร มีการตั้งกองการวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุฯ ต่อมาถูกยกสถานะเป็นสถาบันวิปัสสนาธุระ สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และได้เผยแพร่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอจนแพร่หลายดังปัจจุบัน
1. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานสมณศักดิ์กลับคืน, เล่ม ๙๒, ตอนที่ ๑๐๖ ง, ๖ มิถุนายน ๒๕๑๘, หน้า ๑๓ |
ทำเนียบอดีตพระราชาคณะภาคอิสาณ |
wikipedia.org |
แจ้งเพิ่มข้อมูล info@sangkhatikan.com
www.sangkhatikan.com สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ ศึกษาข้อมูล และเป็นที่รวบรวมข้อมูลพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
ทางผู้จัดทำขออนุญาติ เจ้าของรูปและข้อมูลทุกท่าน ที่นำมาเผยแพร่
พระสังฆาธิการ : sangkhatikan.com
สำนักงานweb : วัดสำโรงเหนือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐
E-mail : info@sangkhatikan.com
Facebook