|
VIEW : 1,646
เพิ่ม/แก้ไขข้อมูลเมื่ออายุย่าง ๑๓ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในเดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๒ ณ วัดบ้านหนองไหล โดยมี เจ้าอธิการโสดา เป็นพระอุปัชฌาย์ ถึงเดือน ๔ จึงย้ายไปอยู่วัดศรีทอง (ปัจจุบันคือวัดศรีอุบลรัตนาราม) เพื่อศึกษากับพระอาจารย์ม้าว เทวธมฺมี จนอายุย่าง ๑๙ ปี ก็จำเป็นต้องลาสิกขาเพื่อตามไปไถ่ตัวบิดาที่ถูกเกณฑ์ไปปราบทัพฮ่อ
ท่านได้อยู่ช่วยงานมารดาบิดาอยู่ ๓ ปี พระอาจารย์ม้าวก็ให้คนมาตามไปบวชอีกครั้ง ท่านยินยอม จึงได้อุปสมบท เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๐ ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู โดยมี พระอาจารย์ม้าว เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการสีโห วัดไชยมงคล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วจำพรรษาที่วัดไชยมงคลเพื่อช่วยงานของพระกรรมวาจาจารย์ เฉพาะเวลาเรียนมูลกัจจายน์จึงเดินมาเรียนที่วัดศรีทอง เรียนได้ ๒ ปี พระอาจารย์ม้าวอาพาธหนักจนไม่สามารถสอนได้ จึงให้ท่านไปศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร
เมื่อถึงกรุงเทพฯ พระอาจารย์อ่อนซึ่งเป็นศิษย์พี่ได้นำท่านไปฝากศึกษาพระปริยัติธรรมกับพระปลัดผา วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อพระอริยมุนี (เอม อายุวฑฺฒโน) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ มรณภาพ พระปลัดผาได้พาท่านไปฝากตัวศิษย์ของพระมหาอ่อน อหึสโก วัดบุปผาราม จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ขณะบวชได้ ๙ พรรษา ท่านตั้งใจว่าตั้งแต่พรรษา ๑๐ เป็นต้นไปจะมุ่งด้านวิปัสสนาธุระแทน ในพรรษาที่ ๑๐ นั้น ท่านจึงกลับไปอยู่วัดศรีทองเพื่อปรนนิบัติและฝึกปฏิบัติธรรมกับพระอาจาร์ม้าวต่อ
พ.ศ. ๒๔๓๑ พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) และเจ้ายุติธรรมธร (คำสุก ณ จำปาศักดิ์) ร่วมกันสร้างวัดมหามาตยารามขึ้นที่นครจำปาศักดิ์ขึ้นถวายคณะสงฆ์ธรรมยุต พระอาจารย์ม้าวจึงมอบหมายให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาส และได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระครูวิจิตรธรรมภาณี เจ้าคณะใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ แล้วกลับไปปกครองคณะสงฆ์เมืองจำปาศักดิ์
เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ทำให้สยามเสียดินแดนลาวแก่สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๓ ท่านพ้นจากตำแหน่งเจ้าคณะเมืองจำปาศักดิ์ จึงย้ายมาอยู่วัดวัดสุปัฏนารามวรวิหาร ต่อมาท่านได้นำคณะศิษย์มาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร อยู่ได้ ๑ พรรษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงมอบหมายให้ไปอยู่วัดเทพศิรินทร์เพื่อช่วยงานหม่อมเจ้าพระศรีสุคตคัตยานุวัตร และมีรับสั่งให้ท่านเข้าสอบอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค แล้วได้รับพระบรมราชานุญาตให้ออกไปจัดการศึกษาภาษาไทยและอักษรไทยที่เมืองอุบลราชธานี
วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้รับพระราชทานอาราธนาบัตร์สถาปนาเป็นเจ้าคณะมณฑลราชบุรี
พ.ศ. ๒๔๓๑ | เป็น เจ้าอาวาสวัดมหามาตยาราม |
พ.ศ. ๒๔๓๓ | เป็น เจ้าคณะใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ |
พ.ศ. ๒๔๔๒ | เป็น เจ้าคณะมณฑลอีสาน |
พ.ศ. ๒๔๔๗ - ๒๔๗๕ | เป็น เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร |
พ.ศ. ๒๔๕๑ | เป็น เจ้าคณะมณฑลจันทบุรี |
พ.ศ. ๒๔๕๒ | เป็น เจ้าคณะมณฑลราชบุรี |
พ.ศ. ๒๔๕๔ | เป็น เจ้าคณะมณฑลกรุงเทพ |
พ.ศ. ๒๔๗๑ - ๒๔๗๔ | เป็น เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร |
เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนาราม (ไม่ทราบ พ.ศ.) |
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อาพาธด้วยโรคชรา ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ สิริอายุได้ ๗๕ ปี ๑๒๑ วัน ได้รับพระราชทานไตรแพรครอง ๑ ไตร โกศโถและชั้นรอง ๒ ชั้น ฉัตรเบญจาตั้ง ๔ คันประกอบศพเป็นเกียรติยศ ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ศกนั้น ณ วัดบรมนิวาส
พ.ศ. ๒๔๓๓ เป็น
พระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์
ที่ พระครูวิจิตรธรรมภาณี
|
๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๒ เป็น
พระราชาคณะ
ที่ พระญาณรักขิต
|
๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็น
พระราชาคณะผู้ใหญ่
ที่ พระราชกระวี นรสีห์พจนปิลันทน์
|
๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็น
พระราชาคณะชั้นเทพ
ที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธาดา มหากถิกสุนทร ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
พ.ศ. ๒๔๕๘ ถูกถอดจากสมณศักดิ์
|
๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙ กลับเป็น
พระราชาคณะชั้นเทพ
ที่ พระธรรมธีระราชมหามุนี
|
๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เป็น
เสมอพระราชาคณะชั้นธรรม
ที่ พระโพธิวงศาจารย์ ญาณวิสุทธิ์จริยาปรินายก ตรีปิฎกธรรมสุนทร ยติคณิศร บวรศีลาทิขันธ์ อรัญวาสี
|
๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็น
พระราชาคณะเจ้าคณะรองฝ่ายอรัญวาสี
มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ญาณวิสุทธจริยาปรินายก ตรีปิฎกคุณาลังการ นานาสถานราชคมนีย์ สาธุการีธรรมากร สุนทรศีลาทิขันธ์
|
แจ้งเพิ่มข้อมูล info@sangkhatikan.com
www.sangkhatikan.com สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ ศึกษาข้อมูล และเป็นที่รวบรวมข้อมูลพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
ทางผู้จัดทำขออนุญาติ เจ้าของรูปและข้อมูลทุกท่าน ที่นำมาเผยแพร่
พระสังฆาธิการ : sangkhatikan.com
สำนักงานweb : วัดสำโรงเหนือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐
E-mail : info@sangkhatikan.com
Facebook